สาวกัมพูชา ดราม่า MV ของลิซ่า กำลังกลายเป็นกระแสอย่างหนักสำหรับ MV เพลง lalisa ของลิซ่า  วง blackpink ที่เพิ่งเปิดตัวกับซิงเกิ้ลเดียวเพลงแรกออกมา

ซึ่งกระแสในโลกออนไลน์ตอนนี้มีทั้งกระแสชื่นชมและกระแสดราม่า  โดยส่วนใหญ่แล้วคนฝั่งยุโรป และอเมริกานั้นเป็นการชื่นชม แม้แต่ญี่ปุ่นกับเกาหลีก็ชื่นชมเช่นกัน แต่กลับมีกระแสดราม่าที่มาจากคนไทยและคนกัมพูชาเกิดขั้นแทน

     สำหรับกระแสดราม่าของไทยนั้น มีคนบางกลุ่มที่ได้เห็นเอ็มวีและไม่เห็นด้วยที่ลิซ่า ได้แต่งกายด้วยชุดไทย และมีฉากในเอ็มวีที่เป็นประสาทโบราณของไทยมาแสดงในเอ็มวี โดยให้เห็นผลว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เป็นการเอาวัฒนธรรมการแต่งกายของไทยไปย่ำยี ในขณะเดียวกันคนไทยหลายคนก็ออกมาต่อว่าความเห็นต่างนี้ว่า สิ่งที่ลิช่าทำนั้น

ถือว่าเป็นการกระทำที่ดีมากมาก เพราะเป็นการเผยแพร่ให้คนประเทศอื่น ได้เห็นวัฒนธรรมของไทยที่สวยงามแค่ไหน ที่สำคัญจะมีคนทั่วโลกอีกจำนวนมากที่อาจจะไม่เคยรู้จักประเทศไทยเลยได้รู้จักประเทศไทยและอยากมาเที่ยวประเทศไทยเมื่อได้เห็น เอ็มวีของลิซ่า

      อย่างไรก็ตามไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้น เพราะที่ประเทศกัมพูชาเองก็มีดราม่าเอ็มวีของลิซ่า เช่นเดียว มีทั้งคนที่ชื่นชอบเอ็มวีนี้ของลิซ่า และมีคนไม่ชอบด้วยเช่นกัน โดยมีหญิงสาวชาวกัมพูชาคนหนึ่งได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลระบุไม่พอใจที่ลิซ่า ได้มีการลอกเลียนวัฒนธรรมของกัมพูชา

โดยหญิงสาวคนดังกล่าวระบุว่าภาพประสาทที่ปรากฎในเอ็มวีของลิซ่านั้นเป็นปราสาทหิน ที่ลักษณะการก่อสร้างในรูปแบบประสาทหินของกัมพูชาและเธอต้องการให้ทางบริษัท YG ทำการลบภาพดังกล่าวนั้นออกไป หรือให้ทำเอ็มวีเพลงขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่มีภาพประสาทหิน

        อย่างไรก็ตามภายหลัง ที่คนในโลกออนไลร์ได้มีการแชร์เฟสบุ๊กของสาวกัมพูชาคนดังกล่าว เธอก็ถูกถล่มจากคนกัมพูชาและคนไทยทันที โดยคนส่วนใหญ่เข้าไปตอบในเม้นต์ของหญิงสาวคนดังกล่าวว่าปราสาทที่เห็นนั้นเป็นปราสาทหินในจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นคนละปราสาทกับของประเทศกัมพูชา และที่ปราสาทหินมีลักษณะหน้าตาที่มีความคลายกันก็เพราะว่าปราสาทเหล่านี้มีอายุมาหลายพันปีแล้ว 

         ซึ่งในช่วงที่สร้างปราสาทหินเหล่านี้ยังไม่มีประเทศเกิดขึ้นยังคงเป็นการปกครองแบบอาณาจักรเท่านั้นซึ่งยุคนั้นเป็นยุคของอาณาจักรขอม และปราสาทหินแบบนี้ไม่ได้มีสร้างที่กัมพูชา หรือประเทศไทยเท่านั้น เพราะประเทศลาวและเวียดนามก็มีปราสาทหินที่มีลักษณะคล้ายกันนี้เหมือนกัน 

     

สนับสนุนเรื่องราวโดย.      ufabet เว็บหลัก

   เสียชีวิตจากการต้มสมุนไพรอบตัว  เมื่อวันที่ 4 เดือนตุลาคมปี พ.ศ. 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจขอสถานีตำรวจในจังหวัดชลบุรีได้รับแจ้งเหตุมีหญิงชราวัย 61 ปีเสียชีวิตภายในบ้านพักเมื่อเดินทางไปถึงก็พบผู้เสียชีวิตอยู่ในสภาพที่ใบหน้าฟุ๊บอยู่ตรงบริเวณที่ต้มหม้อสมุนไพรในขณะที่ตัวนั้นนั่งอยู่กับพื้นนอกจากนี้ตามร่างกายยังพบรอยไหม้และมีรอยพุพองซึ่งเกิดขึ้นทั้งบริเวณใบหน้าและหัวไหล่ทั้งสองข้างรวมถึงที่หน้าอกด้วย 

         จากการให้ข้อมูลของสามีของผู้เสียชีวิต  ได้ความว่าเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 4 เดือนตุลาคมซึ่งเป็นช่วงเวลาประมาณ 6:00 น  

ผู้เสียชีวิตได้มีการนำสมุนไพรมาทำการต้มเพื่อต้องการที่จะอบตัวโดยได้มีการนำมาต้มไว้กับเตาถ่านหลังจากนั้นก็นำผ้าห่มขนาดใหญ่เอามาคลุมตัวและคลุมหัวเอาไว้ซึ่งทางด้านตัวสามีเองได้มีการเตือนภรรยาแล้วว่าไม่ควรจะทำเพราะอากาศจะไม่ถ่ายเทและอาจจะก่อให้เกิดอันตรายแต่ทางผู้เสียชีวิตไม่สนใจคำเตือนส่วนทางด้านสามีเองก็เห็นว่าทางภรรยานะร่างกายแข็งแรงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรจึงปล่อยให้ภรรยาอบตัวไปและตัวเขาเองก็ออกไปทำธุระนอกบ้าน 

       จนช่วงประมาณ 9:00 น จึงได้กลับมาในบ้านก็เห็นว่าภรรยาล้มฟุบใบหน้าคว่ำอยู่ตรงบริเวณหม้อต้มสมุนไพรแล้ว

เมื่อจับตัวดูก็พบว่าเสียชีวิตแล้วจึงได้มีการประสานงานแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างไรก็ตามทั้งสามีของผู้เสียชีวิตระบุว่าตัวเขาเพิ่งถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 4 คิดว่าจะนำเงินดังกล่าวเก็บเอาไว้ใช้กันสองคนตายายแต่ปรากฏว่าต้องนำเงินดังกล่าวนั้นมาใช้ในการจัดงานศพให้กับภรรยาแทน 

        ภายหลังจากที่มีข่าวว่าคุณยายวัย 61 ปีเสียชีวิตจากการต้มสมุนไพรอบตัวก็ทำให้มีการพูดถึงเรื่องนี้กันเป็นอย่างมากซึ่งใน Facebook ของแพทย์แผนไทย

ก็ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นเดียวกันโดยทางเพจระบุว่าสมุนไพรไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตแต่สาเหตุที่ทำให้คุณยายวัย 61 ปีเสียชีวิตนั้นมาจากที่คุณยายทำการอบสมุนไพรไม่ถูกวิธี

      เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่าการจุดเตาอังโล่นั้นจะมีควันเกิดขึ้นและถ้าหากเอาผ้าไปคุมจนไม่มีอากาศถ่ายเทก็จะทำให้ควันลอยวนอยู่ภายในผ้าและเมื่อคนเข้าไปอยู่ในผ้าและสูดดมเข้าไปก็จะทำให้สูดดม ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปเนื่องจากว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้นจะออกมาจากควันที่มีการจุดเตาไฟนั่นเอง

       ซึ่งเรื่องนี้สามารถเปรียบได้กับการที่ข่าวคนฆ่าตัวตายด้วยการนำเตาไปจุดให้เกิดควันแล้วนำไปไว้ในรถเป็นการรมควันตนเองจนเสียชีวิตซึ่งกรณีนี้ก็   อย่างไรก็ตามสำหรับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้นเป็นก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ซึ่งถือว่ามีพิษ  ถ้าหากว่ามีการสูบลมเข้าไปก็จะทำให้รู้สึกเพลียและอาจจะเกิดอันตรายจนถึงแก่ความตายได้ 

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย.  UFABET เว็บหลัก