เมื่อวันที่ 18 เดือนมิถุนายน ปี พ.ศ 2564    ช่วงเวลาประมาณเที่ยง  เจ้าหน้าที่ตำรวจสน. ทุ่งสองห้องได้รับแจ้งเหตุจากพนักงานเต็นท์รถมือสองของบริษัทรถ Big Auto   แจ้งความว่ามีคนร้ายเข้ามาขโมยรถออกไปจากเต็นท์  โดยเต็นท์รถมือสองที่เกิดเหตุนั้นอยู่ตรงแขวงบางแคเหนือกรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ตรงบริเวณถนนกาญจนาภิเษก

       พนักงานที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่ถูกขโมยรถยนต์มือสองในเต็นท์ออกไปนั้นได้ให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าในช่วงเวลาประมาณเที่ยงได้มีชายคนหนึ่งรูปร่างท้วมเดินเข้ามาในเต็นท์รถและขอดูรถยนต์พร้อมกับให้พนักงานสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ดูว่าเครื่องยนต์ทำงานดีหรือไม่จังหวะที่พนักงานเผลอชายคนดังกล่าวก็ขึ้นรถแล้วขับออกจากเต็นท์ทันทีโดยมีการขับรถมุ่งหน้าไปยังถนนเส้นที่จะไปจังหวัดนนทบุรี

       หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึงเต็นท์รถที่เกิดเหตุก็ได้ขอตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ติดภายในเต็นท์รถหลังจากนั้นก็ประสานงานกล้องวงจรปิดตามถนนพบว่าผู้ต้องหาได้ขับรถยนต์ออกจากเต็นท์รถและมุ่งหน้าไปทางจังหวัดนนทบุรีแต่หลังจากนั้นก็ขับรถวนกลับมาเข้าในกรุงเทพอีกครั้งหนึ่งซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการขอกล้องวงจรปิดจึงทราบว่าคนร้ายได้ขับรถที่ขโมยมาไปไว้ที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ตรงบริเวณถนนบางแวกเลยวัดดังกล่าวนั้นชื่อว่าวัดมะพร้าวเตี้ย  

       นอกจากนี้ภายในบริเวณวัดยังมีการติดกล้องวงจรปิดทำให้เห็นว่าคนร้ายได้มีการลงจากรถที่ขโมยมาหลังจากนั้นก็ขึ้นรถเก๋งอีกคันหนึ่งแล้วขับออกไป  โดยพบว่าคนร้ายได้ขับรถกลับไปที่บ้านของตัวเอง ซึ่งบ้านของคนร้ายอยู่ห่างจากวัดที่นำรถยนต์ที่ขโมยมาไปจอดทิ้งเอาไว้เพียงแค่ สองกิโลเมตรเท่านั้นเอง 

           จากการตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าคนร้ายนั้นเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจและถูกให้ออกจากราชการเนื่องจากว่าทำผิดกฎหมายด้วยการขโมยรถยนต์จากเต็นท์รถมือสองเช่นกัน 

     อย่างไรก็ตามเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัวผู้ต้องหาคนดังกล่าวไปสอบสวนเพิ่มเติมที่สถานีตำรวจปรากฏว่าคนร้ายได้ให้ข้อมูลว่าเขากระทำการดังกล่าวไปโดยที่เขาเองนั้นไม่รู้ตัวซึ่งสาเหตุนั้นอาจมาจากการที่เขานั้นไม่ได้กินยารักษาอาการป่วยของเขาก็เป็นไปได้โดยเขาระบุว่าเขามีอาการป่วยหลายโรคและไม่ได้กินยาอาการตึงกำเริบจึงทำให้มีอาการสับสนและก่อเหตุดังกล่าว

      อย่างไรก็ตามทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งดำเนินคดีกับชายคนดังกล่าวในข้อหาวิ่งราวทรัพย์และจะมีการนำยาและอาการพร้อมทั้งคนร้ายไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่งพร้อมขอคำแนะนำจากคุณหมอเกี่ยวกับอาการตามที่ผมได้แจ้ง 

        มีการเปิดเผยออกมาจากสำนักข่าวไทยพีบีเอส  เกี่ยวกับกรณีของหญิงชราคนหนึ่งอายุ 84 ปีซึ่งหญิงชราคนดังกล่าวนั้นเคยเป็นอาจารย์ที่สอนอยู่มหาวิทยาลัยจุฬาฯโดยสารอยู่ในคณะอักษรศาสตร์แต่ว่าปัจจุบันนี้เกษียณอายุและอยู่ที่บ้านแล้ว

เนื่องจากว่าชราภาพมากและมีอาการหลงลืมลืม  โดยครอบครัวของหญิงชรานั้นได้ออกมาทำการฟ้องร้องหญิงสาวคนหนึ่งที่ชื่อว่านางสาววีณาในข้อหาฉ้อโกงและยักยอกเงินของหญิงชราวัย 84 ปี

     เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นโดยหญิงชราวัย 84 ปีนั้นได้เล่าให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจฟังว่าในช่วงประมาณปีพศ2563 นั้นเธอได้รู้จักกับนางสาววีณาจากการที่เธอไปออกกำลังกายที่สนามเทนนิสแห่งหนึ่งโดยนางสาววีณาได้พยายามเข้ามาตีสนิทและบอกว่าตนเองนั้นทำงานเกี่ยวกับเครื่องประดับเป็นเจ้าของธุรกิจโดยมีร้านอยู่แถวบริเวณถนนวิทยุ

         ซึ่งระหว่างที่นางสาววีณาเข้ามาพูดคุยกับหญิงชรานั้นก็ประพฤติตัวดีตลอดอาสาดูแลทุกอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่หญิงชราต้องสูญเสียสามีไปนางสาววีณาก็มาเป็นธุระจัดการให้นอกจากนี้หลานสาวที่ดูแลหญิงชราก็เสียชีวิตลงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ทำให้หญิงชราไม่มีคนดูแลจนเป็นสาเหตุให้นางสาววีณาเข้ามาดูแลแบบเต็มตัวพาไปโรงพยาบาลระหว่างนี้เองที่นางสาววีณาได้มีการยักยอกแอบนำสมุดบัญชีในกระเป๋าของหญิงชราไปโดยหญิงชราล่ะว่าช่วงที่มีการไปโรงพยาบาลเพราะต้องรักษาอาการป่วยซึมเศร้า

         เมื่อคุณหมอให้ยาเธอจะมีอาการเบลอหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลนางสาววีณามักจะพาเธอไปที่ธนาคารหลังจากนั้นนางสาววีณาก็ทำการติดต่อกับทางธนาคารและมีการนำเอกสารมาให้เธอเซ็นซึ่งเธอนั้นไม่รู้ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นอะไรเพราะเธออยู่ในช่วงของการเบอร์ยาแต่ภายหลังนั้นญาติๆของเธอรู้สึกสงสัยกับพฤติกรรมของนางสาววีณานอกจากนี้ตัวเธอเองนั้น

        หลังจากที่อาการดีขึ้นก็งดยาและเมื่อมาค้นหาบัญชีธนาคารของตนเองก็พบว่าหายไปจึงได้ให้หลานสาวอีกคนหนึ่งไปทำการตรวจสอบด้วยหลานสาวติดต่อทางธนาคารและขอคัดรายละเอียดของยอดบัญชีเงินเข้าเงินออกซึ่งทำให้พบว่าตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมปีพศ 2564 นั้นบัญชีของหญิงชราถูกโอนเงินจำนวนหลายล้านบาทไปยังบัญชีของนางสาววีณาซึ่งโดยรวมแล้วมีการโอนเงินจากบัญชีของหญิงชราไปทั้งหมด 4 ครั้งด้วยกันเป็นยอดเงินรวมทั้งสิ้น 21.8 ล้านบาท

          อย่างไรก็ตามหลังจากที่ครอบครัวของหญิงชราได้มีการเรียกนางสาววีณามาพูดคุยปรากฏว่านางสาววีณาพยายามบ่ายเบี่ยงและไม่ยอมมาเจอนอกจากนี้เมื่อมีการให้ทนายความติดต่อไปนางสาววีณากับบอกว่ายอดเงินทั้งหมดที่หญิงชราโอนมา เธอนั้นเป็นการโอนมาให้ด้วยความเสน่หาและเธอจะไม่มีการโอนเงินคืนกลับไปอย่างแน่นอนโดยเธอจะเอาเงินทั้งหมดนี้ไปทำบุญ

        ซึ่งทั้งครอบครัวของหญิงชราและตัวหญิงชราเองยืนยันว่านี่คือการยักยอกทรัพย์โดยที่หญิงชราไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้มีการยินยอมที่จะมีการโอนเงินให้เนื่องจากว่าหญิงชรานั้นกระทำการโดยที่ไม่รู้ตัวเพราะว่ากินยาต้านเศร้าไปนั่นเองซึ่งทางด้านทนายความได้มีการแจ้งข้อหากับนางสาววีณาแล้วหลายคดีด้วยกันทั้งในเรื่องของการฉ้อโกงและการลักทรัพย์ 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย    ufabet เว็บแม่

         มีเหตุการณ์ระทึกขวัญเกิดขึ้นที่ประเทศจีนเมื่อเจ้าหน้าที่รถไฟและประชาชนที่ใช้บริการรถไฟได้พากันช่วยเหลือทารกวัย 2 เดือนซึ่งถูกแม่แท้ๆทำตกตรงบริเวณช่องว่างระหว่างรถไฟกับชานชาลา   โดยเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 เดือนพฤษภาคมปีพศ 2564 ซึ่งตามรายงานข่าวแล้วไม่ได้ระบุว่ามีการเกิดขึ้น

ช่วงเวลาไหนเพียงแต่ระบุว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้นั้นเกิดขึ้นที่เมืองอู่ฮั่นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลหูเป่ย  โดยเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 1 โดยตามรายงานข่าวไม่ได้ระบุชื่อของสถานีที่เกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้

           จากการให้ข้อมูลของผู้ที่เห็นเหตุการณ์ยืนยันว่าในขณะที่รถไฟฟ้าใต้ดินวิ่งเข้ามาจอดที่บริเวณชานชลาและเป็นช่วงจังหวะที่คนกำลังเดินเข้าออกตรงประตูของรถไฟฟ้านั้นปรากฏว่าหญิงสาวรายหนึ่งได้มีการเข็นรถเข็นซึ่งมีทารกอายุ 2 เดือนนอนอยู่ในนั้นโดยล้อของรถเข็นนั้นติดตรงบริเวณประตูทางออก ทำให้แม่ของเด็กทารกนั้นพยายามกระแทกรถเข็นให้แรงขึ้นเพื่อที่จะได้ให้ล้อออกจากตรงบริเวณที่ติดแต่เนื่องจากว่าการกระแทกนั้นรุนแรงจนเกินไปส่งผลทำให้ทารกที่อยู่ในรถเข็นนั้นกระเด็นตกจากรถเข็นและเป็นช่วงจังหวะที่ตกลงไปในท้องร่อง

      ซึ่งเป็นระหว่างชานชาลากับร่องของรถไฟพอดีอย่างไรก็ตามหลังจากที่เด็กตกลงไปก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและเจ้าหน้าที่พนักงานของรถไฟฟ้าใต้ดินมาช่วยแม่ของเด็กซึ่งอยู่ระหว่างการตกใจทำอะไรไม่ถูกโดยเจ้าหน้าที่พยายามที่จะเอามือล่องไปในซอกดังกล่าวแต่เนื่องจากว่าซอกดังกล่าวนั้นมีความเล็กและแคบมากจนเกินไปทำให้ไม่สามารถที่จะเอื้อมมือนำเด็กขึ้นมาได้อย่างไรก็ตาม

          ในขณะนั้นเองมีชาวบ้านรายหนึ่งซึ่งนั่งรถไฟฟ้ามาในขบวนดังกล่าวและได้เข้ามาช่วยเหลือโดยเขาเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่สามารถที่จะดึงตัวเด็กขึ้นมาได้เนื่องจากว่าร่องระหว่างชานชาลากับรถไฟนั้นค่อนข้างเล็กและเขาได้เห็นตรงบริเวณช่องว่างตรงประตูนิรภัยว่ามีความกว้างมากกว่าตรงบริเวณที่พยายามดึงตัวเด็กขึ้นมาเขาจึงได้มีการนำร่างของตนเอง  มุดลงไปในร่องดังกล่าวและสามารถที่จะนำตัวเด็กส่งขึ้นมาได้

        ซึ่งระหว่างการปฏิบัติการช่วยเหลือเด็กทารกวัย 2 เดือนกันอยู่นั้นทางเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟใต้ดินก็ได้มีการประสานงานไปยังสถานีอื่นๆให้รถไฟนั้นหยุดขบวนรถไฟเสียก่อนเพื่อความปลอดภัยของทุกคนอย่างไรก็ตามเหตุการณ์ในครั้งนี้สามารถช่วยเหลือเด็กทารกวัย 2 เดือนไว้ได้อย่างปลอดภัยโดยใช้ระยะเวลาในการช่วยเหลือไม่ถึง 5 นาที ซึ่งถือว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้โชคดีมาก เพราะหากช่วยเหลือช้าอาจเป็นอันตรายต่อทารกได้

 

สนับสนุนโดย    ทางเข้า UFABET ภาษาไทย

               ในยุคสังคมไทยในปัจจุบันเรามักจะเรียนรู้ด้วยการปล่อยให้เล่นโทรศัพท์มือถือว่าถือว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่นั้นต้องทำงานไม่มีเวลาที่จะมานั่งคอยดูแลเรื่องนั้นการให้ลูกเล่นมือถือเล่นเกมจึงเป็นวิธีการเลี้ยงลูกอย่างหนึ่งในสังคมไทยในปัจจุบันนี้

      อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 14 เดือนพฤษภาคม  ปีพศ 2564  ได้มีผู้ใช้ Facebook รายหนึ่งได้ออกมาแชร์ประสบการณ์ของตนเองเพื่อให้เป็นอุทาหรณ์ของผู้ปกครองหลายคนที่ปล่อยให้ลูกเล่นโทรศัพท์มือถือเองโดยที่มีคอยควบคุมดูแลโดยเธอระบุว่าลูกของเธอ ได้นำโทรศัพท์มือถือของเธอไปเล่นซึ่งเธอไม่ได้สนใจอะไรเพราะเป็นแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว  แต่อยู่ดีๆก็มีโทรศัพท์โทรมาหาเธอบอกว่าเธอนั้นมีการสั่งซื้อสินค้าไปมากมาย

          ซึ่งเมื่อเจ้าของโทรศัพท์มีการเปิดเข้าไปดูใน Application การสั่งซื้อของเล่นก็คือ shopee ปรากฏว่ามียอดการสั่งซื้อสินค้าสูงถึงเกือบ 1 แสนบาทเลยทีเดียวสินค้าที่สั่งซื้อมานั้นมีทั้งรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและยังมีนาฬิกาดิจิตอลทั้งของผู้ใหญ่และของเด็กอย่างละ 2 เรือนมี laptop และสเก็ตบอร์ดมีของเล่นและ iPad และยังมีของอื่นๆอีกมากมายทำให้เจ้าของโทรศัพท์มือถือนั้นค่อนข้างตกใจมากเลยทีเดียว

          อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงแค่เคสในประเทศไทยเท่านั้นเพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าวันที่ 14 เดือนพฤษภาคมนี้ก็มีเคสจากต่างประเทศที่ปล่อยให้ลูกเล่นโทรศัพท์มือถือโดยลูกอายุเพียงแค่ไม่กี่ขวบเท่านั้นได้มีการนั่งดูการ์ตูนทางทีวีแล้วเห็นว่ามายด์ไอศครีมรูปการ์ตูนเด็กจึงได้มีการนำโทรศัพท์มือถือของแม่ไปทำการกดสั่งซื้อไอศกรีมรูปการ์ตูนที่ตัวเองชอบแล้วส่งไปที่บ้านของป้าซึ่งเป็นจำนวนเงินหลายล้านบาทเลยทีเดียวเพราะว่ามีการสั่งซื้อไปถึง 50 กว่าลัง

        และนี่คือ 2 ตัวอย่างที่ผู้ปกครองปล่อยปละละเลยเด็กให้เล่นโทรศัพท์มือถือเพียงลำพังซึ่งเด็กนั้นอาจจะไม่ได้มีความรู้อะไรมากนักว่าเมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าแล้วจะต้องจ่ายเงินมากแค่ไหนแต่เมื่อชอบสินค้าชิ้นไหนก็สามารถกดสั่งซื้อไปได้เลยซึ่ง Application ปัจจุบันนี้หากผู้ปกครองมีการผูกไว้กับบัตรเครดิตก็จะสามารถชำระเงินผ่านทางแอพพลิเคชั่นได้เลยและสินค้าก็จะส่งมาให้ถึงบ้านหรือสินค้าบางตัวใน Application shopee และ Lazada ในตอนนี้นั้นก็มีบริการเรียกเก็บเงินปลายทาง

        ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากเราไม่ดูแลบุตรหลานของเราให้ดีเราอาจจะต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมหาศาลถ้าหากว่าเด็กสั่งซื้อโดยที่เราไม่รู้ตัวมารู้ตัวอีกทีสินค้าอาจจะส่งมาถึงที่บ้านเราแล้วก็ได้ดังนั้นทางที่ดีที่สุดอย่าปล่อยอาการของคนเล่นโทรศัพท์มือถือเองคนเดียว 

 

สนับสนุนโดย    ufabet บาคาร่า